การทดสอบและตรวจสอบโครงสร้างของอาคาร มุ่งเน้นตรวจสอบกำลังของโครงสร้าง ว่าได้ตามมาตรฐานหรือไม่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการซ่อมแซมหรือปรับปรุงคุณภาพต่อไป ซึ่งมีวิธีการดังนี้
1. ตรวจสอบทางกายภาพ Geometry Survey
2. ขุดดิน และสำรวจฐานราก
3. ตรวจสอบระดับ และอัตราการทรุดตัวของอาคาร Elevation Survey
4. ตรวจสอบคุณภาพของคอนกรีต
Rebound number / Schmidt Hammer Test (ASTM C 805)
5. ตรวจสอบค่ากำลังอัดสูงสุดของคอนกรีตโดยวิธี
Ultrasonic Pulse Velocity Test (PUNDIT, ASTM C 597)
6. เจาะเก็บแท่งตัวอย่าง Core Sampling (ASTM C 42 And C 39)
7. ทดสอบกำลังดึงของเหล็กเสริม โดยตัดแท่งตัวอย่างจากองค์อาคาร
Specimen Sampling (ASTM A370 / ASTM E 8)
8. ตรวจสอบกำลังของเหล็กเสริมโดยวิธี Hardness Test (ASTM E 10 / ASTM E 18)
9. ตรวจสอบตำแหน่งและขนาดของเหล็กเสริม Ferro Scan / Covermeter Test
10. ตรวจสอบสภาพความเป็นกรด - ด่างของผิวคอนกรีต
Carbonation Test (pH meter)
11. ตรวจสอบปริมาณคลอไรด์ของคอนกรีต Chloride Content Test (ASTM C 114)
12. ทดสอบการรับน้ำหนักบรรทุกขององค์อาคาร Load Test on Flexural Member (ACI 318)
13. ทดสอบการรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็ม Pile Load Test (ASTM D 3689-83)
14. ตรวจสอบความยาวและความสมบูรณ์ของตัวเสาเข็มโดยวิธี Side Echo / Seismic Test ( ASTM D 5882-95 )
15. เจาะดิน สำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลชั้นดิน Soil Boring and Soil Testing
16. ทดสอบการรับน้ำหนักของชั้นดิน Soil Bearing Test / Plate Bearing Test (ASTM D 1194)
17. ตรวจสอบดิ่งลิฟท์
18. ตรวจสอบแนวโน้มการผุกร่อนของเหล็กเสริม Half - cell Potential Test (ASTM C 876)
19. ทดสอบกำลังของคอนกรีตโดย Pull-Off Test (ASTM C 1583)
20. ทดสอบประเมินผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนของโครงสร้างภายใต้สภาวะการใช้งาน Vibration Test
21. ตรวจวัดการสั่งไหวของอาคาร Ambient vibration
22. วิธีการอื่นๆ
ตรวจสอบโครงสร้างอาคาร ตรวจสอบความแข็งแรงโครงสร้าง ซ่อมแซมโครงสร้างอาคาร
ติดต่อบริษัท สยาม เรมีดี จำกัด 02-691-8454-55 , 086-459-0533 ID LINE : siamgroup
1.1 การสำรวจมิติต่าง ๆ ทางกายภาพของอาคาร เป็นการสำรวจสภาพภายนอกและภายในอาคารที่สามารถมองเห็น สำรวจสภาพการใช้พื้นที่ของอาคาร ทำการบันทึกตรวจวัดความยาว ความกว้างของอาคาร ตำแหน่งและขนาดพร้อมหน้าตัดของโครงสร้างอาคาร เช่น คาน, เสา เป็นต้น เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการจัดทำแบบแปลนของอาคารขึ้นใหม่
1.2 การตรวจสอบบันทึกสภาพการแตกร้าวของอาคาร เนื่องจากสภาพการใช้งานชำรุดเสียหาย เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นประกอบการตรวจสอบความมั่งคงแข็งแรงของอาคารต่อไป
การตรวจหารอยแตกร้าว (Cracks) เนื่องจากรอยร้าวเป็นสัญญาณเริ่มแรกที่บ่งชี้ว่าโครงสร้างเริ่มลดความแข็งแรง ทั้งรอยร้าวยังสามารถบอกถึงสาเหตุได้ การตรวจสอบแยกเป็น
• ขนาดของรอยร้าว (ความลึก ความกว้าง และความยาว)
• ทิศทาง (ตามขวาง ตามยาว ตามแนวดิ่ง ตามแนวทแยง หรือมีการกระจายทั่วๆไป)
• ตำแหน่งรอยร้าว เป็นต้น
การตรวจสอบระดับพื้นและฝ้าเพดานของอาคาร จะทำให้ทราบถึงสภาพการทรุดตัวของอาคาร และยังเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการประเมินว่าอาคารมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ในกรณีที่พบว่าอาคารมีการทรุดตัวมากในบริเวณใด ก็จะต้องตรวจสอบฐานรากและโครงสร้างในบริเวณนั้น ๆ ว่ามีความเสียหายมากน้อยเพียงใด
การสำรวจค่าระดับการทรุดตัวของฐานรากและเสาแต่ละชุด เพื่อนำมากำหนดค่าระดับ (PROFILE) ว่าการทรุดตัวของอาคารมีลักษณะอย่างไร เพื่อกำหนดค่าระดับที่จะทำการปรับระดับ
และวิธีการยกปรับระดับให้ถูกต้อง
การสำรวจค่าระดับเพื่อความถูกต้องของข้อมูล ได้กำหนดให้ทำวงรอบเพื่อตรวจสอบปรับแก้ค่าระดับอ้างอิงมาตรฐาน (B.M.) ให้ถูกต้อง ก่อนถ่ายระดับเข้าสู่ค่าระดับอ้างอิงชั่วคราว (T.B.M.) เพื่อนำไปใช้ในการสำรวจค่าระดับภายในอาคารต่อไป
เป็นการตรวจสอบคุณภาพของคอนกรีตแบบไม่ทำลาย (Non-Destructive Testing) โดยวิธีวัดขนาดแรงสะท้อนด้วย Schmidt Hammer Test เพื่อประเมินค่ากำลังอัดสูงสุด (Maximum Compressive Strength) หรือค่า Fc’ โดยอาศัยการวัดค่าดัชนีสะท้อนกลับ (Rebound Number) ที่เกิดจากการกดแกนทดสอบ (Plunger) และกระบอกทดสอบ (Housing)
ให้ตั้งฉากกับผิวคอนกรีต แรงกระแทกจากสปริงภายในจะทำให้แกนทดสอบเกิดการสะท้อนกลับมีค่าดัชนีตั้งแต่ 10 ถึง 100 ขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูดซับพลังงานของผิวคอนกรีต
ผิวคอนกรีตที่มีความแข็งแรงมากกว่าจะมีค่าดัชนีสะท้อนกลับสูงกว่า การทดสอบด้วยวิธีนี้ ดำเนินการตามมาตรฐาน ASTM C805
เครื่องมือและอุปกรณ์การทดสอบประกอบด้วย ชุดทดสอบ Rebound Hammer Type N. ให้พลังงานกระแทก 2.207 Nm. ซึ่งเป็นชนิดที่ใช้สำหรับทดสอบคอนกรีตโครงสร้างอาคารทั่วไป การแปรผลทดสอบสามารถกระทำได้โดยตรงจากราฟความสัมพันธ์
เป็นการทดสอบกำลังรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็ม โดยวิธี Dynamic Load Test (ASTM D-4945-89 และ AASHTO T 298-93) และวิธี Static Load Test (ASTM D3689-83)
การทดสอบ Dynamic Load Test จะใช้ลูกตุ้มน้ำหนักปล่อยกระแทกที่หัวเสาเข็ม เพื่อทำให้เกิดคลื่นความเค้น (Stress Wave) ลงไปตลอดตัวเสาเข็มและสะท้อนกลับขึ้นมา ซึ่งจะถูกบันทึกโดยตัว Transducers ประกอบด้วย Strain Gauges และ Accelerometer ที่ติดใกล้กับหัวเสาเข็ม สัญญาณที่ได้ จะนำไปวิเคราะห์หากำลังการรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็มต่อไป
การทดสอบ Static Load Test จะวางน้ำหนักบรรทุกลงบนหัวเสาเข็มหรือใช้เสาเข็มเป็นตัวยึดโครงเหล็ก (Support Frame) ที่วางพาดอยู่เหนือเสาเข็มทดสอบ จากนั้นใช้แม่แรงไฮดรอลิค
ดันหัวเสาเข็มทดสอบ พร้อมกับตรวจวัดและบันทึกค่าการทรุดจมของเสาเข็มไปด้วยพร้อม ๆ กัน เพื่อนำไปวิเคราะห์หากำลังการรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็มต่อไป
เป็นการทดสอบด้วย Plate Bearing เพื่อตรวจสอบความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุกของพื้นดิน (Soil Bearing Capacity) และ Deformation Characteristic หรือลักษณะ
การทรุดตัวของดิน โดยแสดงผลการทดสอบเป็นกราฟความชันระหว่าง น้ำหนักบรรทุกและการทรุดตัว (Load-Settlement Curve) และกราฟความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการทรุดตัว (Time Settlement Curve)
ขั้นตอนในการทำงาน เริ่มจากให้น้ำหนักบรรทุกแก่ Test Plate หรือ Plate Loading ซึ่งวางไว้ที่ก้นหลุมในระดับความลึกเดียวกันของฐานรากที่จะก่อสร้างและขนาดของหลุมเจาะทดสอบไม่ควรน้อยกว่า 4 เท่าของความกว้างของ Plate Loading แล้ววัดค่า Settlement หรือการทรุดตัวที่เกิดขึ้น
เป็นการตรวจสอบ เพื่อหาค่าการล้มเอียงในแนวดิ่งของช่องผนังปล่องลิฟท์ โดยขั้นตอนของการสำรวจตรวจสอบ จะต้องกำหนดจุดอ้างอิง (Reference Point) ภายในช่องลิฟท์ก่อน แล้วตั้งกล้องระดับเลเซอร์ให้แนวแกนกล้องผ่านจุดอ้างอิง อ่านค่าที่ได้ด้วยแผ่นสเกล (Scale Plate) บันทึกข้อมูลโดยค่าที่ได้สามารถนำมาพิจารณาหรือเลือกใช้ขนาดของลิฟท์ต่อไป
เป็นการตรวจวัดความผุกร่อนของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก จะวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างเหล็กเสริมและบริเวณผิวคอนกรีต เพื่อประเมินค่าการกัดกร่อนและสภาพของชั้นหุ้มเหล็กเสริมในช่วงที่ทำการทดสอบ โดยที่ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้านี้เป็นผลจากขบวนการกัดกร่อนเหล็กเสริม ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงจะบ่งบอกถึงความเสี่ยงในการกัดกร่อนของเหล็กเสริม
โดยค่าพลังงานศักย์ไฟฟ้าครึ่งเซลล์ เพื่อวัดปริมาณการกัดกร่อนในเหล็กเสริมของโครงสร้างคอนกรีตหรือสนิมของเหล็กเสริม โดยใช้เครื่องมือ Corrosion Analyzing Instrument เป็นการทดสอบแบบไม่ทำลาย ซึ่งจะใช้บ่งบอกปริมาณการเกิดสนิมเหล็กที่เกิดจากการผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในเหล็กบริเวณที่ต้องการตรวจสอบได้ เช่น เหล็กเสริมในโครงสร้างคอนกรีตและท่อร้อยสายไฟที่ฝังในคอนกรีต รวมถึงความต้านทานของคอนกรีต เพื่อประเมินโอกาสการเกิดสนิมของเหล็กเสริมในบริเวณที่ทำการตรวจสอบ โดยศักย์ไฟฟ้าครึ่งเซลล์จะถูกใช้เป็นขั้วไฟฟ้าที่อ้างอิงภายนอกและในการหาค่าพลังงานศักย์ไฟฟ้าครึ่งเซลล์ จะเป็นการที่แท่งทองแดงถูกทำให้อิ่มตัวในสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟต (Malhotra, V.M. et al, 2004) การวัดค่าจะได้จากการใช้หลักของการเหนี่ยวนำของความต่างศักย์ เป็นไปตามมาตรฐาน ASTM 876-91
เป็นการทดสอบเพื่อหากำลังรับแรงดึงของคอนกรีต โดยทำการเจียร สกัด / เปิดให้ถึงเนื้อคอนกรีตเดิม จากนั้นทำความสะอาดและยึดหัวดึงคอนกรีตด้วยกาว Epoxy ทิ้งไว้ให้ยึดติดแน่น นำชุดอุปกรณ์ทดสอบมาติดตั้งพร้อมปรับค่าก่อนทำการทดสอบ อ่านค่าทดสอบที่ได้จากมาตรวัดพร้อมจดบันทึกค่าการทดสอบ เพื่อนำไปเปรียบเทียบเป็นกำลังอัดของคอนกรีต
เป็นการตรวจวัดพฤติกรรมของโครงสร้างภาคสนามและวิเคราะห์ผลด้วยกระบวนการแปลงผลสัญญาณตรวจวัดด้วยวิธี Digital Signal Processing โดยสามารถประมวลผลได้ ดังนี้
• ตรวจวัดคุณสมบัติตรวจวัดคุณสมบัติทางพลศาสตร์ของโครงสร้าง ประกอบไปด้วยความถี่ธรรมชาติ รูปแบบการสั่นไหวและอัตราส่วนความหน่วงของโครงสร้างจาก
อุปกรณ์ตรวจวัดความเร่ง (Accelerometer)
• ตรวจวัดพฤติกรรมการรับแรงของโครงสร้างภายใต้น้ำหนักทดสอบที่ทราบค่า โดยกำหนดตำแหน่งน้ำหนักบรรทุกของโครงสร้างและวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์วัดค่าความเค้น
(Strain Gage) และอุปกรณืวัดการเคลื่อนตัว (Displacement Transducer)
• ตรวจวัดพฤติกรรมการรับแรงของโครงสร้างภายใต้น้ำหนักทดสอบที่ทราบค่า โดยกำหนดน้ำหนักบรรทุกของโครงสร้างเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่างๆและวิเคราะห์ข้อมูลจาก
อุปกรณ์วัดค่าความเค้น (Strain Gage) อุปกรณืวัดการเคลื่อนตัว (Displacement Transducer) และอุปกรณ์ตรวจวัดความเร่ง (Accelerometer)
เป็นการตรวจวัดพฤติกรรมของโครงสร้างภาคสนามและวิเคราะห์ผลด้วยกระบวนการแปลงผลสัญญาณตรวจวัดด้วยวิธี Digital Signal Processing (DSP) เพื่อประมวลผลต่อไป
นำค่าการตรวจวัดมาเทียบจากกำหนดมาตรฐานการสั่นสะเทือนเพื่อป้องกันผลกระทบกับอาคาร ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 37 ปี พ.ศ. 2553 ว่ามีผลกระทบต่อความแข็งแรงของอาคารหรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบโครงสร้างอาคารที่มีปัญหา ตรวจสอบโครงสร้างเพื่อปรับปรุงการใช้อาคารหรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคาร
วิเคราะห์โครงสร้างเพื่อยืนยันความเเข็งแรง รายงานผลการตรวจสอบและแนวทางการแก้ไข